ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จิตเป็นของจริง

๑๓ เม.ย. ๒๕๕๓

 

จิตเป็นของจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันมีคำถามมา มันถามมานานแล้ว เขาบอกว่า เขาก็มาบวชที่นี่ แต่เดิมเข้าใจว่าตัวเองรู้ธรรมะดีมาก ขนาดไปพูดธรรมะที่ไหน เขาจะเป็นผู้เฉลยตลอดเวลา เขาเข้าใจว่าเขารู้ธรรมะ เขาเข้าใจมาก สุดท้ายแล้วมาบวชที่นี่แล้ว เขาฟังเราเทศน์ทุกคืน เขาบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเลย เขาไม่รู้อะไรเลยนะ

ถาม : กระผมเข้าใจเองว่า กระผมศึกษาธรรมะพอสมควรด้วยการอ่านหนังสือเอกสารต่างๆ ของครูบาอาจารย์หลายท่าน ติดตามข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ทั้งได้โต้ตอบปัญหาธรรมะกับผู้ใกล้ชิด และมีความเชื่อมาตลอดว่าตนเองมีความเข้าใจในธรรมะอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป

เห็นได้จาก เมื่อโต้ตอบธรรมะ กระผมมักจะเป็นผู้เฉลย ชี้แจง และได้รับการยอมรับเสมอ ในข้อที่สงสัย กระผมอธิบาย โดยเฉพาะในระยะหลังๆ นี้มักจะเป็นผู้ตอบปัญหา ไม่ว่าทางโลกทางธรรม จากเพื่อนสนิทมิตรสหายและผู้ใกล้ชิด กระผมเข้าใจเองว่าได้พบพระพุทธองค์เสมอ เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปจะพบพระพุทธองค์ประทับอยู่เบื้องสูง กระผมมุ่งหวังที่จะกราบเท้าพระพุทธบาทสักครั้ง แต่ไม่ทราบว่าจะเดินไปทางไหนได้อย่างไร และเมื่อมีความเพียรมากขึ้นๆ เป็นพักๆ ก็จะเร่งเพื่อไปให้ถึงที่ แต่ทว่าก็ไม่สามารถลดระยะทางที่เคยมีลงไปได้เลย แต่ในบางขณะ กลับมีระยะห่างมากขึ้น จนแทบไม่เห็นพระพุทธองค์ด้วยซ้ำไป

ผมต้องการผู้นำทาง จนกระทั่งมีโอกาสได้มาบวชที่วัด และได้รับฟังธรรมะของหลวงพ่อทุกคืน ทำให้กระผมได้มีความเชื่อมั่นว่า ผมได้รับทราบถึงเส้นทางนั้นแล้ว และเส้นทางของครูบาอาจารย์ที่เอาไว้ถากถางเป็นเส้นทาง ที่คนๆ หนึ่งเดินไป กระผมเข้าใจว่าผมรู้เรื่องมาก จนกระทั่งมาบวช ถือว่าสิ่งที่รับรู้แล้วคือไม่รู้อะไรเลย แต่ก่อนหน้านั้นเข้าใจตัวเองว่าตัวเองนี้รู้มาก รู้มากๆ มาบวชที่นี่เดือนหนึ่งแล้วสึกไป สุดท้ายแล้ว อย่างที่เป็นคำถาม

กระผมเข้าใจว่าจิตนี้เป็นของจริง กายนี้ ความคิดนี้จะดับไป และจิตจะคงไว้ซึ่งสัญญาของภพชาติ มีเพียงเล็กน้อยเสมือนหนึ่งว่า ความคิดนี้จดจำเรื่องราวสมัยเด็กได้เพียงเล็กน้อย จิตนี้ก็คงจำเรื่องราวของภพชาตินี้ได้น้อยนิดกว่า คงเหลือแต่บุญกรรมที่เป็นแรงผลักดัน ให้จิตเคลื่อนไปตามสภาวะ ข้อความนี้ผิดพลาดอย่างใด ขอองค์หลวงพ่อเมตตาชี้ทางให้กระผมด้วยครับ

หลวงพ่อ : นี่ไง เวลากระทำไปเรื่อย ก็เข้าใจหมดไง เข้าใจทุกอย่างหมด แต่สุดท้ายแล้ว เขาบอกว่า จิตนี้เป็นของจริง กระผมเข้าใจว่าจิตนี้เป็นของจริง กายนี้ ความคิดนี้จะดับไป และจิตจะคงไว้ซึ่งสัญญาภพชาติที่เพียงเล็กน้อย เหมือนความคิดที่เราจดจำสภาวะที่เป็นอดีตได้เพียงเล็กน้อย จิตนี้ก็คงจำเรื่องราวภพชาตินี้ได้น้อยยิ่งกว่า คงเหลือแต่บุญกรรม เป็นแรงผลักดันให้เคลื่อนไปตามสภาวะ ข้อความนี้ผิดพลาดอย่างใด

ฉะนั้น ย้อนกลับมาที่ว่าความคิดเล็กน้อยเหมือนเด็ก ความคิดตอนเราเป็นเด็ก ที่เราย้อนไปตอนเป็นเด็กกับปัจจุบันนี้ กับตอนเป็นเด็กที่เราย้อนไปมันเป็นคนละภพคนละชาติไหม ไม่ มันเป็นชาตินี้เหมือนกันใช่ไหม เวลาเราจำสิ่งใดได้ ความจำของเรา มันก็เป็นภพชาติอย่างนี้ เวลาเราพูดถึงเรื่องจิต เห็นไหม ทุกคนไม่เห็นจิตหมด ทุกคนไม่รู้จักจิตนะ ทุกคนไม่เห็นจิต เวลาไปศึกษาธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกเรื่องจิต เรื่องจิต แต่พวกเรารู้ได้ถึงความคิดของพวกเรา พวกเรารู้ได้แค่ความคิด ทีนี้ความคิดเป็นจิตไหมล่ะ ความคิดมันไม่เป็นจิต

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านบอกว่า เวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว ตัวธรรมแท้ๆ นี่สื่อความหมายไม่ได้ ตัวธรรมแท้ๆ นี่สื่อความหมายไม่ได้ แต่เวลาสื่อความหมายมันต้องเสวยอารมณ์ ต้องเสวยสมมุติออกมา มันถึงสื่อความหมายออกมา ฉะนั้น ความคิดของพวกเรานี่เป็นอะไร เป็นอารมณ์ใช่ไหม ถ้าเป็นอารมณ์ปั๊บ เราคิดว่ามันเป็นจิต เห็นไหม ฉะนั้นจะบอกว่า ตั้งแต่ปฏิสนธิ ตั้งแต่ในครรภ์เลยนะ ไม่ใช่เป็นความคิดตอนเด็ก ตอนอยู่ในครรภ์นี่เราได้ภพชาติแล้ว พออยู่ในครรภ์ เราจะดิ้นอยู่ในครรภ์ ถ้าพอแม่กินของร้อน แม่กินของเผ็ด เด็กจะได้รับอาหารนั้น มันจะเผ็ดร้อนในนั้น มันจะดิ้นอยู่ในท้องอย่างนั้น

แต่ถ้าพ่อแม่กินอาหารที่ดี เด็กมันได้รับอาหารที่ดี เห็นไหม มันรับรู้ของมัน เห็นไหม มันรับรู้นั่นมันเกิดแล้วนะ ถ้ามันเกิดออกมา เห็นไหม พอมันเกิดออกมาแล้ว พอมันเกิดออกมา มาเป็นเรา เป็นเด็ก เด็กก็คือจิต จิตอันเดียวกันนี่แหละ ฉะนั้นจะบอกว่า เราจะแบ่งแยกว่า ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่นี่มันคนละภพ ไม่ใช่ มันไม่เหมือนกับตอนจำตอนเป็นเด็ก กับตอนจำเป็นผู้ใหญ่ไง อันนี้เป็นอันเดียวกันหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเป็นธรรมชาติของจิต แล้วธรรมชาติของจิตเห็นไหม ที่เราใช้คำว่าพันธุกรรมทางจิต จิตนี้มันมีพันธุกรรมของมัน

ดูสิ เวลาพันธุกรรมทางพืชเขาจะต้องแยกพันธุ์ เขาคัดพันธุ์ของเขา เขาต้องผสมใหม่ เขาต้องตัดดีเอ็นเอของมัน เห็นไหม เพื่อจะสร้างพันธุ์ใหม่ เพื่ออะไรต่างๆ แต่เวลาจิต ใครไปตัดแต่งมันล่ะ มันก็เรื่องกรรม เรื่องเวร ไปตัดแต่งมัน จะตัดแต่งขนาดไหนก็แล้วแต่ มันจะไม่มีที่สิ้นสุดไง มันไม่สิ้นสุดเพราะเวรกรรมมันไม่สิ้นสุดหรอก มันจะผลักขับดันไปอย่างนั้น แต่เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติต่างหากล่ะ มรรคญาณมันจะเข้าไปรื้อค้นเข้าไปทำลาย

เราจะบอกว่า สิ่งที่ทำตอนเด็ก เรานึกถึงเด็ก ไม่ได้ มันของเล็กน้อย มันไม่เล็กน้อยนะ เวลาสิ่งใดก็แล้วแต่ มันตกผลึกในใจหมดเลย มันตกผลึกในใจหมด ถ้ามันบอกว่า ตกผลึกได้มากได้น้อย แต่มันเป็นคนละภพคนละชาติไง ถ้ามันคนละภพคนละชาติ มันไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์นะ มันไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ตรงไหน กาฬเทวิลระลึกชาติได้ ๔๐ ชาติ กาฬเทวิลมันเป็นพราหมณ์เฉยๆ นะ เป็นฤๅษีชีไพรที่ไปนอนอยู่บนพรหม สมัยก่อนพุทธกาล พวกฤๅษีชีไพรเขาระลึกชาติได้อยู่แล้ว การระลึกชาตินี่มันมีคนระลึกชาติได้

ตอนเราเป็นเด็กๆ นะ มันมีอยู่ข้างบ้านคนหนึ่ง เขาอายุมากกว่าเราแต่เขาบอกว่าเขาจำอดีตชาติของเขาได้ แล้วชาติปัจจุบันคือพ่อแม่ของเขา แต่เขาบอกเขาเคยเกิดแถวนั้นแหละ แล้วเขาตายมาจากชาตินั้น แล้วมาเกิดเป็นเด็กอยู่ข้างบ้านเรา ตอนเราเป็นเด็กๆ นะ แล้วผู้ใหญ่เขาไม่เชื่อกัน ไม่เชื่อก็พิสูจน์ พิสูจน์ว่าเมื่อชาติที่แล้วเขาได้เอาของเขาเก็บไว้ที่ไหนๆ ในบ้านนั้น เพราะเขาเกิดคนละบ้านแล้ว พ่อแม่เก่าไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็พิสูจน์กัน ขุดลงไปเจอหมดเลย พอเจอหมดเลย เขาก็ยอมรับว่านี่คือลูกเขาตายแล้วมาเกิดใหม่ พอตายมาเกิดใหม่มาอยู่อีกบ้านหนึ่ง เลยกลายเป็นว่าเขามี ๒ พ่อแม่ พ่อแม่คู่หนึ่งคือพ่อแม่ปัจจุบัน กับพ่อแม่อดีตชาติที่เขาเคยเกิดชาตินั้นแล้วตายมา เห็นไหม

ไอ้เรื่องภพชาติที่ว่า อดีตชาติที่ว่าไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์เลย แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราจำภพชาติของเราไม่ได้ล่ะ สังเกตได้ไหม เวลาเราตายไป ส่วนใหญ่คนตาย ตายไปแล้วต้องไปเกิดต้องไปพบยมบาล ยมบาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าคนนี้ เห็นไหม ยมบาล จะตัดสิน ตัดสินอย่างที่ว่าเขาไปเที่ยวไปนรกสวรรค์ เห็นว่าคนทำแล้วได้อะไร อันนั้นมันไปที่นั่นเพื่อตัดสินว่าไปนรกหรือไปสวรรค์ โดยธรรมชาติวัฏฏะมันจะเป็นอย่างนี้ แต่มันมีแอคซิเดนท์ได้ แอคซิเดนท์หมายถึงว่า อย่างเทวทัตนี้ไม่ต้องตัดสิน ไปเลย แล้วถ้าทำดีมากๆ นะ ก็ขึ้นไปเลยก็มี

หลวงตาพูดถึงใช่ไหม บอกว่าชื่อเณรบัว ว่าตายแล้วเกิดใหม่ แล้วก็จำอดีตชาติได้ พอจำอดีตชาติได้ก็ถาม เจอเณรนี่ถามเณรนี่เสร็จ ก็ไปบอกว่าชาติที่แล้วเป็นพระ ก็ไปถาม ไปถามอาจารย์ของพระองค์นั้นที่เขารู้จัก ก็ยังอยู่ เห็นไหม จะบอกว่า เณรบัวนี่เขาบอก บอกว่าเขาไปนั่งดูในยมบาล เห็นว่าคนตกนรกก็ตกนรกไปเลย เวลาคนตกนรกส่วนใหญ่ พอสุดท้ายแล้วยมบาลบอกให้ไป เขาบอกเหลือเขา ๒ คน พอ ๒ คนนี่จะให้ไปไหนล่ะ ท่านจะไปไหนก็ได้ จะกลับไปเกิดก็ได้ จะไปสวรรค์ก็ได้

แล้วมีโยมคนหนึ่งที่ไปคู่กับเขาจะไปสวรรค์ แล้วไปสวรรค์ไปทางไหน ให้ลงน้ำไป พอลงน้ำไปปั๊บ เขาเอารถรับไปเลย ลงน้ำไปในที่เขาตายแล้วเกิดนะ แต่เณรบัวนี่ไม่อยากไปไหนเลย ถ้าไม่อยากไปไหนก็ถือบริขารเดินออกไป พอเดินออกไปก็ไปถึงชายป่าก็ไปพักผ่อน พอหลับลงไปพักเดียว มันเดินมันเหนื่อยไง ก็นั่งอยู่ชายป่า ริมถนน พอนั่งปั๊บเกิดทันทีเลย พอนั่งปั๊บหลับไปนะเกิดแล้ว ไปเกิดมาเป็นเณรบัว นี่พูดถึงว่า จิตมันเป็นอย่างไร การจำไง

กระผมคิดว่าจิตนี่เป็นของจริง ใช่ เป็นของจริง จิตนี่มันเป็นของจริง แต่มันเป็นอนิจจังไง มันเป็นของจริงแต่มันเวียนตายเวียนเกิด มันไม่จริงคงที่ ตัวจิตมันมีพลังงาน พลังงานมันจะโดนขับไปโดยเวรโดยกรรม โดนขับไปโดยภพโดยชาติ มันจะโดนขับไปไม่มีเว้นวรรค มันจะโดนขับไปตลอด เป็นของจริงที่เปลี่ยนแปลง จิตนี่เป็นของจริงที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงเป็นมนุษย์ พอหมดชาติมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งใดไป แต่มันมีของจริงมันอยู่ไง ถ้าจิตเป็นของจริงปั๊บ มันก็เหมือน ถ้าบอกว่าจิตนี้เป็นของจริงใช่ไหม ถ้าเป็นของจริงปั๊บมันก็เหมือนกับแร่ธาตุอันหนึ่งวางไว้แล้วไม่เป็นไรเลย ไม่ใช่ จิตเป็นของจริงที่เวียนตายเวียนเกิดตลอดไป

พระโพธิสัตว์ถึงสร้างเวรสร้างกรรมแล้วมันจะหมุนของมันไปอย่างนี้ จิตเป็นของจริง เพราะฉะนั้น แล้วกายนี้ เวลามันดับไป จิตคงไว้ซึ่งสัญญาของภพชาติ สัญญาของภพชาติ ไม่มี สิ่งใดๆ ไม่มี ภพชาติเป็นภพชาติ ไม่เกี่ยวกับสัญญา สิ่งที่เป็นภพชาติเป็นภวาสวะ เห็นไหม อาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ภวาสวะคือตัวภพ ปฏิสนธิจิต อวิชชาสวะ อวิชชาคือความไม่รู้เกิดจากภพ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ กิเลส เห็นไหม กิเลสตัณหาทะยานอยาก อวิชชาความไม่รู้ เห็นไหม แล้วตัวภพ ตัวภพนี่แหละ ตัวภพเป็นตัวภพชาติ เป็นตัวจิต แต่ตัวสัญญาล่ะ สัญญาเกิดจากภพ

ถ้าสัญญาเกิดจากภพ คงไว้ซึ่งสัญญา ทีนี้สิ่งนี้คำว่าสัญญา เหมือนจิตมันมีข้อมูลของมัน แต่มันมีข้อมูล อย่างเช่นปัจจุบันนี่เราคิดอะไรได้ เราจำสิ่งใดได้ นี่คือสัญญา แล้วสัญญา เห็นไหม สัญญาเกิดขึ้นเพราะอะไร สัญญาเกิดขึ้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นเปลือกของจิต เห็นไหม ตัวพลังงานคือตัวจิต แล้วสัญญา สัญญาที่มันเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร สัญญา เห็นไหม สัญญาแม้แต่ภาษา ภาษาจีน ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส เห็นไหม สัญญาคนละอย่างแล้ว ถ้าสัญญามันตายตัวไป

เมื่อวานเขามา เวลากลางคืน พอปกติ เขาจะเห็นพวกเทวดาพวกสัตว์นรก เห็นแล้ววิตกวิจารมาก เขาเห็นของเขานะ เมื่อวานมา ลูกหลานพามา พอเขาคุยไปแล้วเขาคอตกเลย เราบอกอย่างนี้ทุกข์ แต่ถ้าเป็นนะ เป็นบุคคลคนหนึ่ง เขามีเซนส์ของเขา มันเป็นแอคซิเดนส์น่ะ คำว่าแอคซิเดนท์ของจิตแต่ละดวงมันมีเวรกรรมมาแปลกๆ ถ้าจิตดวงนี้ มันเกิดเป็นมนุษย์แต่มีเซนส์แปลกๆ คือจะรู้เห็นอะไรแปลกกว่าคนอื่น ถ้ารู้เห็นแปลกกว่าคนอื่น มันรู้เป็นธรรมดาไง เหมือนนกบินได้ ปลาอยู่ในน้ำ จิตของคนถ้ามีเซ้นท์แปลกประหลาดอะไร มันก็จะเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น คือเป็นเรื่องปกติของเขา ถ้าเขาเห็นสิ่งใด เขาจะไม่ตื่นเต้นไง เขาจะไม่มีความตื่นเต้นจนเป็นทุกข์เป็นกังวล

แต่เมื่อวานที่มานี่ เขาบอกทุกข์มาก หน้าเศร้าๆ คนเรานี่กิเลสมันแปลก เวลาเราเห็นอะไรต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ว่าเหนือโลก พอเหนือโลก โลกเขาไม่มี ก็คิดว่าตัวเองนี่มีคุณสมบัติดีกว่าเขา มันมาเกิดเป็นทิฏฐิว่าเรานี่แน่กว่าเขา แต่จริงๆ ถ้าแน่กว่าเขาดีกว่าเขาแต่ทำไมทุกข์ล่ะ ทุกข์มากนะ พอทุกข์มาก เมื่อวานมาบอกทุกข์มาก เราบอกให้กลับมาที่พุทโธ เราจะพูดว่าอย่างนี้ ถ้าจิตเขาเห็นโดยปกติของเขา ถ้ามันไม่ทุกข์มันก็จิตส่งออก เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างที่บอก คนละภาษา

แต่มันภาษาใจ ภาษาใจจะรู้อย่างนั้น มันเป็นคุณสมบัติของใจดวงนั้น แต่! แต่ถ้าพอภาษาใจมันเป็นอย่างนั้นแล้ว เห็นแล้วมันทุกข์ มันไม่ใช่คุณสมบัติ มันเป็นภาระแบกหาม มันทุกข์ เพราะมันสื่อกับใครไม่ได้ ประสาเรา เราเห็นของเราแล้วเราเข้าใจไม่ได้ เราเห็นแล้วเราไม่รู้นะ ไปถามครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็ไม่รู้กับเรา ถ้าครูบาอาจารย์รู้ มันรู้โดยสัจธรรม สัจธรรมคือมันเป็นเรื่องของสัจธรรม เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวะอากาศเป็นธรรมชาติ มันจะแปรสภาพเป็นธรรมดา แล้วเราก็อาศัยธรรมชาติดำรงชีวิต อย่างเช่น ออกซิเจน เห็นไหม ธรรมชาติคือธรรมชาติ

ธรรมชาติไม่ใช่เรา จิตที่เห็นโดยที่ว่ามีเซนส์พิเศษ มีคุณสมบัติพิเศษ มันเห็นแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา มันไม่มีความตื่นเต้นไม่มีความทุกข์ยากเลยไง แต่ถ้าเราไปดูไปเห็นแล้วมีความทุกข์ยาก ทุกข์ยากมันเป็นอะไรล่ะ แล้วเห็นทำไม แล้ววิธีแก้ล่ะ วิธีแก้ก็กลับมาที่ตัวภพนี่ไง ถึงบอกว่าภพไม่ใช่สัญญา สัญญาเป็นสัญญา ภพเป็นภพ กลับมาที่ตัวภพ กลับมาที่ตัวเรา สัญญาก็ดับไป แต่ถ้าการไปรู้ เห็นไหม รู้ จิตรู้สิ่งที่ถูกรู้ มันเป็นจิตวิญญาณ แล้วเราไปรู้เขา เราไปรู้เขาแล้วเราไปทุกข์ยากทำไม

ฉะนั้นเวลากลับมา การแก้จะกลับมา แต่! แต่มันละเอียดอ่อนเกินกว่าคนนั้นจะรู้ได้ อย่างเช่นกลับมาที่ผู้รู้ กลับมาที่ภพ อ้าว ก็มันรู้อยู่อย่างนี้ ก็มันรู้อยู่แล้ว ก็รู้เห็นจิตวิญญาณแล้วจะกลับมาได้อย่างไร อ้าว แล้วถ้าจะกลับมา มันกลับอย่างไร นี่ไง คนตาบอดนี่มันจะงงไปทุกอย่างเลย จับต้องอะไรไม่ถูกเลย แต่เรานึกพุทโธๆๆ ขึ้นมาสิ พุทโธๆ พลังงานที่มันไปรู้นี้ ดึงกลับมาที่นี่ กลับมาที่ภพ กลับมาแล้ว พอดึงกลับมา สิ่งนั้นจะดับหมดเลย ฉะนั้น สัญญาไม่ใช่ภพ

เพราะฉะนั้น อย่างที่ว่าจิตมันคนละภาษา เห็นไหม สิ่งที่สมมุติโลก สมมุติภาษา คนละภาษา ภาษาคือสัญญา การจำ ศึกษาภาษามา ใครได้กี่ภาษา คนพูดได้ ๕ ภาษา คนพูดได้ ๓ ภาษา ๒ ภาษา คนพูดได้ภาษาเดียว คนพูดได้กี่ภาษา ก็แสดงว่าสัญญา คนหนึ่งมี ๔ – ๕ สัญญา มี ๒ สัญญา ๓ สัญญาเหรอ ไม่ใช่ คนมีสัญญาเดียว สัญญาคือตัวขันธ์ สัญญาขันธ์คือข้อมูลของจิต สิ่งนี้มันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นธรรมชาติของเราที่เกิดเป็นมนุษย์ไง

เวลาไปเกิดเป็นเทวดาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เกิดเป็นอินทร์เป็นพรหมก็เป็นอีกอย่างหนึ่งเพราะมีขันธ์ ๔ ขันธ์ ๑ เห็นไหม เรามีขันธ์ ๕ ทีนี้คำว่าขันธ์ ๕ ขึ้นมา ฉะนั้นคำว่าสัญญา เราจะบอกว่า สิ่งที่เป็นสามัญสำนึกที่เป็นมนุษย์ก็คือเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นคน สัญญาข้อมูลคือเราศึกษามาในธรรมะพระพุทธเจ้า แต่เวลาตายไปแล้วสัญญานี่มันเปลี่ยนแปลง ขันธ์ ๕ นี่เปลี่ยนนะ เพราะอะไร ขันธ์ ๕ ที่ว่าเปลี่ยน ถ้าขันธ์ ๕ ไม่เปลี่ยน เราจะไปเกิดเป็นพรหมไม่ได้ เพราะพรหมมีขันธ์ ๑ พรหมมีขันธ์เดียว แล้วถ้ามีขันธ์ ๕ อยู่นี่ มันคนละสถานะ เราจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าเกิดเป็นพรหม พรหมมีขันธ์ ๑ เกิดเป็นเทวดา เทวดามีขันธ์ ๔ เพราะเทวดาไม่มีรูปร่าง เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีขันธ์ ๕

ฉะนั้นสถานะของแต่ละภพมันก็คือสถานะของแต่ละภพ เอกเทศ มันเป็นภพนั้นเป็นเอกเทศนั้น แต่พอตาย จิตกลับมาสู่จิต นี่มันเป็นสากลเป็นกลาง เพราะจิตนี่ไปเกิดที่ไหนก็ได้ เห็นไหม จิตนี่มันเกิด พอตายปั๊บ จิตนี่มันถอดออกมาเป็นสัมภเวสี ใช่ไหม จะไปเกิดเป็นนรกอเวจี จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะไปเกิดเป็นเทวดาอินทร์พรหม เห็นไหม โอปปาติกะ คำว่าเกิดเป็นโอปปาติกะ นั่นคือการเกิดแล้วนะ เปลี่ยนสถานะแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดานี่เปลี่ยนเป็นเทวดาแล้ว เปลี่ยนเป็นเทวดาไป แต่ถ้าไปเกิดเป็นพรหม เปลี่ยนเป็นพรหมไป พอเปลี่ยนเป็นพรหม เป็นพรหม ก็สถานะของพรหม สถานะของพรหมก็ขันธ์ ๑ สถานะของเทวดาก็ขันธ์ ๔ สถานะของมนุษย์ สถานะของสัตว์นรก เห็นไหม

ฉะนั้น สัญญาที่ว่าเป็นเด็ก คำว่าเราเป็นเด็กมีสัญญาอย่างนี้ ถ้าเป็นสัญญาอย่างนี้ มันไปอยู่ภพอื่นมันเข้าใจไม่ได้ อย่างเช่น มีในพระไตรปิฎกนะ มันมีเศรษฐีมหาเศรษฐีเลย แล้วมีลูกคนหนึ่ง ลูกชายคนเดียว แล้วขี้เหนียวมาก ลูกชายป่วยนะ จะไปเอาหมอมารักษาก็กลัวหมอจะมาเห็นสมบัติของตัว ก็เอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้าน พอเอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านจะให้หมอมารักษาที่หน้าบ้าน กลัวหมอเข้าไปในบ้านแล้วไปเห็นสมบัติ ใช่ไหม ลูกชายคนเดียวก็เลยจะเรียกค่ารักษาแพง ด้วยความขี้เหนียว ด้วยความตระหนี่ ก็เอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้าน แล้วรอให้หมอมารักษา

พระพุทธเจ้าบิณฑบาตมา พระพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณ พุทธกิจ ๕ รู้ว่าเด็กคนนี้มันยังมีบุญอยู่ เดินผ่านมาบิณฑบาต แล้วคนป่วยคนใกล้ตาย มันไม่มีอารมณ์จะรับรู้ฟังธรรมะอะไรหรอก เขาก็นอนหันหน้าเข้าข้างฝาบ้านไง พระพุทธเจ้าเปล่งรังสี ฉัพพรรณรังสี พอเขาเห็นแสง คนป่วยมันเห็นแสง โอ้โฮ มันแบบอลังการมาก เอ๊ะ นี่แสงอะไร ก็หันเหลียวไปหาพระพุทธเจ้า พอเหลียวไปหาพระพุทธเจ้า โอ้ พระพุทธเจ้า เขามีความสุขนะ ประสาเรานะ คงคิดว่า พ่อเรายังไม่รักเราเท่าพระพุทธเจ้าเลย พ่อเรายังเอาเรามาทิ้งเลย

พอพระพุทธเจ้ามาเปล่งฉัพพรรณรังสี มีความสุขมาก แล้วก็ตาย พอตายเห็นไหม คนเรา พ่อแม่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้ทำอะไรเลย มีลูกคนเดียว รักลูกมากแต่ก็ขี้เหนียวมาก ขนาดเจ็บไข้ได้ป่วยรักษายังเสียดายทรัพย์เลย พอลูกตายไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา จากบุญอันนี้ จากบุญที่พระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีมา พอไปเกิดเป็นเทวดานะ โอ้โฮ มีความสุขมาก โอ้โฮ มีความสุขมาก เราจะพูดถึงเทวดากับมนุษย์ ที่ว่าขันธ์ ๔ กับขันธ์ ๕ พอไปเกิดเป็นเทวดานะ โอ้โฮ มีความสุขมากเลย สุขนี้ได้มาจากไหน สถานะของเทวดาได้มาอย่างไร อ๋อ ได้มาจากพระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสี อ๋อ ได้มา เราจะบอกว่าไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมเขาระลึกได้ไง ระลึกได้ว่าสิ่งที่เขาได้มา ได้มาอย่างไร

เพราะฉะนั้นถามว่าแล้วอย่างนี้เป็นสัญญาหรือเปล่า เป็นสัญญาในภพนี้ แล้วสัญญานี้มันตกผลึก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํเห็นไหม วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํเห็นไหม ไอ้พวกปัจจยาการ สิ่งที่เฉพาะตัวจิตล้วนๆ มันไม่ใช่ขันธ์ มันเป็นปัจจยาการที่มันเกี่ยวเนื่องกัน ทีนี้พอมันเกี่ยวเนื่องกัน จิตมีอาการของจิต อาการของจิตก็คือสถานะของมนุษย์ อาการของจิต รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ในปัจจุบันนี้มันก็เป็นปัจจุบันนี้ จะหลบหลีกหรือจะให้มันเปลี่ยนแปลงจากนี้ไป เป็นไปไม่ได้ แต่การกระทำอย่างนี้มันมีรากเหง้า รากเหง้าคืออะไร ขันธ์ ๕ มันจะเกิดเองได้ไหม ขันธ์ ๕ เกิดเองไม่ได้ มันเกิดมาจากจิต แล้วมันเกิดจากจิต การกระทำสิ่งใดมันก็กระเทือนไปสู่จิต ทีนี้แต่มันไม่ใช่สัญญาอย่างนี้ มันเป็นข้อมูลอีกอันหนึ่ง ฉะนั้นเวลาตายไป เห็นไหม บุญกุศลเวลาทำกัน เวลาตายไป สิ่งที่เราได้เสียสละแล้วมันทิ้งไว้ที่นี่ แต่บุญกุศลมันติดจิตนี้ไป เพราะจิตนี้เป็นพลังงานที่เกี่ยวกับขันธ์ ๕ มันเกี่ยวเนื่องกัน เพราะสิ่งนี้มีมันถึงมีสิ่งนี้ มันเกี่ยวเนื่องกัน มันประสานงานต่อกัน โดยข้อเท็จจริง โดยธรรมชาติของมัน

คนภาวนาไม่เป็น มองไม่เห็นแล้วไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย ฉะนั้น ย้อนกลับไป ฉัพพรรณรังสีนั้น พอเด็กคนนี้ไปเกิดเป็นเทวดา เห็นไหม โอ้โฮ ได้บุญมาจากใคร ไม่เคยทำอะไรเลย แค่เห็นแสงของพระพุทธเจ้าแค่นี้ โอ้โฮ ไปเกิดเป็นเทวดา แล้วพอเทวดาก็เห็น ใช่ไหม พ่อก็รักลูกมากนะ พอรักลูกมาก พอลูกตายก็เอาลูกไปฝังนะ โอ๊ย เสียใจมาก ไปนอนเฝ้า ไปนั่งร้องไห้ทุกวันเลย ไปนั่งเฝ้าหลุมศพ ไอ้เทวดาลูกมันอยู่บนสวรรค์ มันเห็นพ่อมันนะ พ่อเรานี่แย่มากๆ เลย มีเงินเยอะแยะก็ไม่รักษาเรา ให้พระพุทธเจ้านี่รักษา แล้วได้บุญก็มาเกิด ได้บุญกุศลมาได้เป็นเทวดาก็เพราะพระพุทธเจ้าเมตตาเอามาโปรด พ่อไม่ทำอะไรเลย แล้วยังขนาดว่า เงินมีเยอะแยะ ไม่รู้จักใช้ประโยชน์ แล้วเวลาลูกตายไปก็ยังมาคร่ำครวญอยู่ ฉะนั้น เทวดานี่ก็ปลอมตัวเป็นเทพบุตร

พอถึงเวลาแล้ว พอเช้า พ่อจะมาเฝ้าศพทุกวันเลย มาร้องไห้อยู่ เทวดานี่ก็ปลอมเป็นเทพบุตรมานั่งร้องไห้ก่อนที่หลุมศพ เอ๊ะ พอพ่อมานี่ก็ตกใจนะ เอ๊ะ วันนี้ทำไมมีคนมาร้องไห้ก่อน ธรรมดากูร้องไห้คนเดียว วันนี้ทำไมมีคนมาร้องไห้ก่อนวะ เอ๊ะ แล้วมาร้องไห้อยู่ได้ แปลกใจ เพราะเขาไม่มีญาติพี่น้อง ไปถึงเห็นเทพบุตร ถามเทพบุตรว่าร้องไห้ทำไม มาทำไม โอ้ เสียใจมาก แล้วร้องไห้ทำไม ร้องไห้จะเอาดาวเอาเดือนน่ะ ไอ้พ่อนั่นก็ถามมึงจะบ้าเหรอ ดาวเดือนอะไรที่ไหน ไอ้ลูกเทพบุตรมันก็ย้อนกลับเลย แล้วมึงจะบ้าเหรอ ร้องไห้ให้คนตายจะฟื้นได้อย่างไร โอ้โฮ นี่ลูกมาแก้พ่อ ฟื้นได้สติเลย

นี่ไง เทพบุตร เห็นไหม นี่แหละ ลูกมาแก้พ่อ อยู่บนสวรรค์ลงมาแก้พ่อได้ มาถึงร้องไห้ก่อนเลย ร้องห่มร้องไห้เลย ไอ้พ่อมาถึง มาร้องไห้ทำไม จะร้องไห้เอาดาวเอาเดือน ไอ้พ่อก็บอกว่าเอ็งจะบ้าเหรอ ดาวเดือนมันเอามาไม่ได้ เขาก็ย้อนกลับ การแก้จิตมันแก้กันอย่างนี้ มันต้องเป็นปัจจุบัน ต้องกระทุ้ง ต้องพูดเข้าไปถึงใจดำไง แล้วเอ็งก็จะบ้าเหรอ จะมาร้องไห้เอาคนตายให้ฟื้น คนตายก็ตายไปแล้ว มาร้องไห้ได้ทุกวันๆ ได้สติเหมือนกัน นี่ไง ถ้าคนมีสติ เห็นไหม พูดถึงอย่างสายบุญสายกรรม

คำว่าสายบุญสายกรรม เห็นอยู่ เพราะการเกิดเป็นพ่อกับลูกเกิดมาก็ต้องมีสายบุญสายกรรมอยู่แล้ว แต่ในเมื่อพ่อนิสัยเป็นอย่างนั้น แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าต่างหากมาโปรด แล้วพระพุทธเจ้ามาโปรดแล้ว มาโปรดแค่นั้นเองก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้นก็เอาบุญอันนั้นกลับมาโปรดมาสอนพ่อ

เพราะฉะนั้นถึงบอก คำว่าสัญญากับภพชาติ แม้แต่เป็นสัญญาเล็กน้อย พูดอย่างนี้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราฟังธรรมะ พอฟังธรรมะแล้ว เพราะคำพูดของเรา เราจะพูดตรงนี้บ่อย เพราะไม่ค่อยมีใครพูด เราจะเน้นว่า "สัญญาในขันธ์ ๕ กับสัญญาในปฏิจจสมุปบาท มันเป็นคนละสัญญากัน"

อย่างเช่นคำว่าวิญญาณในขันธ์ ๕ กับวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท วิญญาณในขันธ์ ๕ เห็นไหม วิญญาณ เวลาตากระทบรูป เห็นไหม จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ โดยหู เห็นไหม ฆานวิญญาณโดยจมูก โสตวิญญาณ นี่คือวิญญาณอายตนะ วิญญาณอายตนะมันเป็นวิญญาณของมนุษย์ไง แต่ถ้าตัวปฏิสนธิวิญญาณ มันคนละอันนะ

ทีนี้ ภาษา เห็นไหม กิน รับประทาน เสวย มันก็คือกิริยาของการกินนี่แหละ แต่สถานะของผู้ที่ทำนั้นมันคนละสถานะ อย่างกษัตริย์นี่ต้องเสวย อย่างเรานี่กิน อย่างพระนี่ฉัน มันก็กิริยาการกินนี่แหละ แต่สถานะของมันแตกต่างกัน วิญญาณก็เหมือนกัน ถ้ามรรคของโสดาบัน วิญญาณในโสดาบัน วิญญาณในสกิทา วิญญาณในอนาคา วิญญาณในอรหัตตมรรค มันแตกต่างกัน ความหยาบความละเอียดแตกต่างกัน

คนไม่ภาวนาก็จะบอกว่า วิญญาณก็คือวิญญาณไง มรรคก็คือมรรคไง มันสำเร็จรูปมานะ ผิดหมด เขาพูดอย่างนั้นเหมือนกำปั้นทุบดินไง ถ้าคนภาวนาเป็น ฟังพูดตรงนี้รู้ เพราะคนเราศึกษามาจบปริญญาตรีก็ตรี โทก็โท เอกก็เอก แล้วถ้าเป็นศาสตราจารย์ก็เป็นศาสตราจารย์อีกอย่าง เพราะอะไร เพราะเอ็งทำวิชาการมามันถึงจะได้รับ โสดาปัตติมรรคเป็นโสดาปัตติผล สกิทาคามรรคเป็นสกิทาคาผล แตกต่างกันหมด อันนี้ก็เหมือนกัน คำว่าสัญญาในชาติปัจจุบันกับสัญญา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ มันก็แตกต่างกัน มันคนละอันกัน มันคนละอันกัน มันไม่ใช่อันเดียวกัน แต่มันอยู่ในใจนี่ ใจมันมีหยาบละเอียด

ฉะนั้น จะบอกว่าจิตนี้เป็นของจริงไหม เพราะคำว่าถ้าจิตเป็นของจริงมันเป็นอาตมันไง มันจะเข้าไปอยู่ฮินดู ถ้าบอกว่าจิตเป็นของจริง นี่จะเป็นฮินดูเลยล่ะ อาตมันนี่จิตต้องกลับไปสู่อาตมัน กลับไปอยู่กับพระเจ้า แต่จิตนี่จริงในตัวของมันเอง จะว่าจิตนี้เป็นของจริงไหม จริง จริงของมัน เพราะว่าขณะจิตที่ตายไปแล้วมันก็มีมิติ มีภพ ภพนั้นปลอมหมดไง ภพนั้น เทวดา อินทร์ พรหมนี่ปลอมหมด ปลอมเพราะอะไร เพราะเป็นผลของวัฏฏะ มันเปลี่ยนแปลง แต่ตัวจิตตัวพลังงานนี่จริง ถ้าตัวพลังงานจริง จริงแล้วอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นเราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามาไง ถ้าจิตสงบเข้ามามันจะเห็นตัวจิต นั่นน่ะคือตัวจริง

แล้วเห็นตัวจิต เห็นตัวจริงแล้วแต่ยังทำจิตไม่เป็น ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าจะแก้ไข นี่ไง พุทธศาสนาละเอียดอ่อนขนาดนี้ไง พุทธศาสนาละเอียดอ่อนมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ยังท้อใจว่าจะสอนเขาอย่างไรดีหนอ ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้วนะ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญาเต็ม พระพุทธเจ้ารู้หมด เข้าใจหมดเลย แล้วจะสอนใครได้หนอ เพราะอะไร เพราะมันพูดกันคนละภาษาเดียวกัน พูดอย่างหนึ่ง แต่คนก็คิดอีกอย่างหนึ่ง เพราะคนเราคิดโดยสามัญสำนึก คิดโดยทางโลก คิดโดยสมอง แต่ไม่ใช่ทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นคนละเรื่องกัน

ฉะนั้น สิ่งที่มันละเอียดอ่อนมันก็ละเอียดอ่อนมาก ขนาดว่าพระพุทธเจ้ายังว่าขนาดนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติไว้ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติส่วนปริยัติ ที่ว่าตัวเองรู้เข้าใจ ใช่ เข้าใจตามปริยัติ พอเข้าใจตามปริยัติปั๊บ เวลาสื่อความหมายไป คนฟัง เห็นไหม กระผมเป็นผู้ตอบปัญหาทางธรรม เพื่อนๆ นี่ฟังผมหมดเลย ก็เพื่อนๆ เขาไม่ได้ศึกษามา เขาไม่รู้ทางวิชาการ พอเราพูดทางวิชาการไป เราคาดหมายไป มันเหมือนไหม เหมือน โอ้โฮ เข้าใจเหมือนกันหมดเลย แล้วก็ว่างๆ สบายๆ เป็นอย่างนั้นหมด แต่ผลของมันคือไม่มี มันไม่มีผล ไม่มีผลเพราะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากการกระทำมันไม่มี

ถ้าเกิดขึ้นจากการกระทำปั๊บมันมี ถ้าการกระทำมันมีนะจะเข้าใจอย่างที่เราพูด ถ้าเข้าใจอย่างที่เราพูด มันมีข้อเท็จจริงไง เหมือนได้แต่ชื่อมา แต่ไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีความรู้จริง แต่ได้ชื่อมา จำชื่อได้ เขาเรียกสัญญา จำชื่อได้นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นสัญญาไหม ภพชาติเล็กๆ น้อยๆ มันเป็นสัญญาไหม นี่มันก็เป็นแบบว่าเรามาเรียงลำดับเอาโดยปรัชญา เห็นไหม ต้องเป็นอย่างนั้นๆๆ เราก็แบ่งเลย ความคิดอันนี้เป็นระดับนี้ ความคิดอันนี้เป็นระดับนี้ ความจริงไม่ใช่ ความคิดระดับนี้คือระดับนี้หมดเลย เวลาทำลายมันทำลายหมดเลย อย่างเช่น

เราเปรียบจิตนี้เหมือนลูกมะพร้าว ถ้าเราปอกเปลือกมะพร้าว คือปอกความคิดเรา ทำลายความคิดหมดเลย ปอกเปลือกมะพร้าวหมดเลย โสดาบัน แล้วถ้าเราใช้ปัญญาที่ลึกซึ้งเข้าไป ทำลายกะลามะพร้าวหมดเลย กะลามะพร้าวกับเปลือกมะพร้าวมันคนละอันกัน พอทำลายเปลือกมะพร้าวปุ๊บ ทำลายเปลือกมะพร้าวหมดไหม นี่ไงสกิทาคามี ระหว่างเปลือกมะพร้าวกับเนื้อมะพร้าวนี่ แยกออกจากกัน โลกนี้ราบเป็นหน้ากลองเลย แล้วอนาคานี่คือเนื้อมะพร้าว ถ้าเราทำลายเนื้อมะพร้าว เนื้อมะพร้าวมีคุณค่านะ เนื้อมะพร้าวเป็นกะทิ เนื้อมะพร้าวมีประโยชน์ เนื้อมะพร้าวเป็นอาหาร

กามราคะ โลกนี้อยู่ด้วยโอฆะ โลกอยู่ด้วยกาม ด้วยความสัมผัสกัน ด้วยความสัมพันธ์กัน โลกนี้อยู่กันด้วยกามโอฆะ ทำลายเนื้อมะพร้าวหมด เห็นไหม พอทำลายเนื้อมะพร้าวแล้วมันเหลืออะไร เหลือน้ำมะพร้าวหรือใจมะพร้าว น้ำมะพร้าวมันเป็นจิตล้วนๆ เห็นไหม มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้นอีก แล้วน้ำมะพร้าวนี้มันจะทำลายตัวมันเองอย่างไร พอมันทำลายหมดแล้ว เห็นไหม นี่ไง ความละเอียดความหยาบของจิต มะพร้าวลูกหนึ่งมันหุ้มด้วยเปลือกด้วยกะลา มันมีเนื้อของมัน แล้วมันมีน้ำ ในจิตนี่หยาบละเอียดมันแตกต่างขนาดนั้น ถ้ามันทำลายได้ขนาดนั้น

พอมันทำลายหมดแล้ว แล้วมันเหลืออะไร ทำลายหมดแล้ว ลูกมะพร้าวทั้งลูก เห็นไหม จิตทั้งจิต ความหยาบละเอียด ระดับความรู้ของมัน แล้วทำลายออกมาแล้ว พอเสร็จไปแล้วมันจะเหลืออะไร นี่ไง ธรรมธาตุ สิ่งที่เป็นธรรมธาตุ เห็นไหม สิ่งที่ไม่มีสิ่งใดๆ เลย รู้ เรานี่รู้พะรุงพะรังนะ สัญญาความจำนี่รู้ไปหมดทุกอย่างเข้าใจไปหมดเลย รู้ไปหมด ปัญญาเยอะมากเลย แล้วถามว่า รู้จักตัวเองไหม ไม่รู้ แต่รู้ทุกเรื่องนะ แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย แต่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้วนะ ท่านทำลายจิตของท่านหมดแล้ว เรื่องโลกไม่รู้หมดเลย แต่รู้เรื่องใจเรา เพราะลูกมะพร้าวนี้เราได้ทำลายหมดแล้ว ทำลายตั้งแต่เปลือกของมันเข้ามา เป็นโสดาบันเป็นอย่างไร เป็นสกิทาเป็นอย่างไร เป็นอนาคาเป็นอย่างไร แล้วสิ้นกิเลสเป็นอย่างไร เพราะมันไม่มีเลย เหมือนมี ไม่มีเลยแต่มี เห็นไหม ไม่มีสิ่งใดเลย มันเป็นธรรมธาตุไง

พอเข้าใจเรื่องนี้ปั๊บ มันก็จะย้อนกลับมาตรงนี้ ย้อนกลับมาที่ว่า จิตนี้มีจริงใช่ไหม จิตนี้เป็นของจริง กายและความคิดนี้และจิตนี้มี คงไว้ซึ่งสัญญาและภพชาติเพียงเล็กน้อย เสมือนหนึ่งว่าความคิดนี้จำเรื่องราวสมัยเด็กได้ เสมือนหนึ่งว่าจำเรื่องราวเด็กกับผู้ใหญ่ เรื่องอย่างนี้มันเป็นปรัชญาหมด เป็นตรรกะหมด แต่ถ้าเป็นความจริงแล้ว มันเป็นความจริง ความจริงอย่างนี้มันเป็นความจริงของจิต มองตากันนี่เข้าใจด้วยกัน จบ ขยายความออกไปแล้วมันยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ แล้วความจริงเป็นความจริง

ในการศึกษา ในทางปฏิบัติ ในทางกฎหมาย ตีความกันไปเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงนะ สบตานี่รู้ด้วยกันเลย เพราะคนมันผ่านวิกฤติมาด้วยกัน ถ้าผ่านวิกฤติมาด้วยกันจะรู้เลยว่าผ่านวิกฤติมาด้วยกัน คนหนึ่งผ่านวิกฤติมาแล้ว อีกคนหนึ่งไม่เคยผ่านเลย แต่จำได้หมดเลย ไอ้คนที่ไม่เคยผ่านมานี่งงนะ มองอย่างไรมองก็ยังสงสัยอยู่ ทุกอย่างยังสงสัยอยู่

ฉะนั้น จะบอกว่าธรรมชาติของจิตมันเป็นธรรมชาติของจิต ถ้าเข้าใจแล้วจบ แต่ถ้าบอกว่า ภพชาติเป็นภพชาติ ภพชาติมันเป็นตัวปฏิสนธิวิญญาณ ถ้าภพชาติ เห็นไหม ดูสิ ความวิเศษของจิต เห็นไหม ดูพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ตั้งแต่สร้างบุญบารมีมา

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ พอพยากรณ์ยังต้องสร้างต่อไปอีก เห็นไหม แล้วคิดดูว่า การสร้างภพชาติขนาดนั้น แล้วมันไปรวมลงในจิตของพระพุทธเจ้าอันเดียว มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดไหน เราจำไว้ในสมอง แต่ละชาติๆ มีความรู้เยอะแยะไปหมดเลย แล้วความรู้นั้นจะเอาไปไว้ที่ไหน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย คำว่าอสงไขยคือชาติหนึ่งๆ แล้วความดีทั้งหมดมันสะสมลงไปที่จิต มันสะสมลงจิตทั้งหมดเลย ฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้ามันสะสมมาขนาดไหน มันเป็นนามธรรม เห็นไหม

อย่างในคุก ถ้าคนแน่นคุก คนล้นคุก คุกจะพังเลย แต่เวลาเราตกนรกอเวจีลงไป จิตจะแน่นขนาดไหนไม่มีวันพังเลย เพราะมันเป็นนามธรรม ความรู้สึกความนึกคิดของคนก็เหมือนกัน บุญกุศลของคนก็เหมือนกัน มันตกไปในใจก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำว่าสัญญานี่เรายึดไม่ได้ เพราะสัญญานี้เป็นบัญญัติ สัญญาที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ เห็นไหม ถ้าสัญญาเราไปคุยทางโลก สัญญาเขาบอกสัญญาคือข้อตกลงเซ็นต์สัญญากัน แต่ถ้าเป็นภาษาธรรมะ สัญญาคือความจำ พอสัญญาคือความจำ

เราจะบอกว่าสัญญาคือสมมุติ พระพุทธเจ้าสมมุติขึ้นมา

พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้แต่สอนไม่ได้ เพราะไม่มีบัญญัติอย่างนี้ขึ้นมา แต่พระพุทธเจ้าสอนได้เพราะพระพุทธเจ้าบัญญัติถึงธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สัญญาเป็นความหมาย เป็นความรับรู้ เป็นความเข้าใจ มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง คำว่าสมมุติมันจะมาเทียบกับภพชาติเชียวเหรอ ภพชาตินี่ จะมีคำว่าภพชาติหรือไม่มีคำว่าภพชาติ อันนี้เป็นสมมุติ แต่ความจริงของภพชาติ ความจริงของจิต อันนั้นมันอีกอันหนึ่ง ถ้าความเป็นจริงของจิตมันจะเวียนตายเวียนเกิดตามธรรมชาติของเขา ตามความจริงของเขา ตามสัจจะ ตามเวรตามกรรมของเขา ถ้าเขาทำคุณงามความดี เขามีเวรกรรมที่ดีขึ้นมา เขาสร้างของเขาขึ้นมา

พระอรหันต์ต้องสร้างมาหนึ่งแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นไหม สร้างมา แล้วพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ใครก็ต้องสร้างของใครมา อันนั้นคือการตกผลึกของใจ คือพันธุกรรมของจิตเขามา นั่นคือตัวจิต

ฉะนั้นตัวภพชาติตัวนั้น มันจะรู้ได้ เราจะบอกว่าไม่ต้องไปกังวลหรอก ไม่ต้องมาเขียนเป็นตำราว่าภพชาติมันเป็นอย่างไร แล้วสัญญามันเป็นอย่างไร ไอ้นี่มันจะเถียงกันโดยสัญญาไง เถียงกันโดยปริยัติ คือว่าเถียงกัน คืออยากรับรู้ รับรู้แล้วจะให้เห็นภาพชัดเจน แล้วจะอธิบายออกมาให้โลกเข้าใจได้ มันเข้าใจไม่ได้หรอก แต่ถ้าผู้รู้จริงเข้าใจในใจของผู้รู้จริง

ผู้รู้จริงอย่างเช่นครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่มั่น วันนั้นเทศน์ออกมานี่พระยังงงนะ เชื่อ เชื่อน่ะเชื่อแน่นอน แต่มันจะเป็นอย่างไร เราไม่เห็นรูปแบบ หรือเราไม่รู้ว่ามันจะจบขบวนการของมันอย่างไร นี่ไงสงสัย แต่เชื่อครูบาอาจารย์เทศน์ไหม เชื่อ ฉะนั้น ความเข้าใจที่เป็นปริยัติที่ว่า สัญญาเป็นอย่างนั้นๆ เราจะให้ขบวนการของมันเข้าใจได้เหมือนวิทยาศาสตร์ คือว่าเราจะแบ่งแยกให้เป็นสูตรสำเร็จ ให้เป็นสูตรตายตัว มันไม่มี เพราะอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน

การกระทำของคนไม่เหมือนกัน อย่างเช่นกินข้าวนี้ คนกินจุกับคนกินน้อยมันต่างกันนะ บางคนต้องกินเต็มที่ถึงจะอิ่ม บางคนกินแค่ ๓ คำอิ่มแล้ว เห็นไหม มันแตกต่างกัน นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันอิ่มคือเต็มใจ พอใจมันเต็มอิ่ม มันละได้แล้ว มันปล่อยแล้ว แต่บางคนทำเกือบตาย เหมือนคนกินจุนะ เขากินกันถ้วย ๒ ถ้วยก็อิ่มแล้ว เราต้องกิน ๕๐ ถ้วย โอ้โฮ นั่งกินอยู่อย่างนั้น เขาไปถึงไหนกูยังกินข้าวไม่อิ่มเลย

นี่ก็เหมือนกัน คนที่มันปฏิบัติ ที่จิตมันต้องมีอำนาจรักษา เป็นแบบ ๕๐ ถ้วยนี่ มันต้องภาวนามากกว่าเขา ๕๐ เท่าน่ะ คนเขาทำ ๒ รอบ ๓ รอบเขาก็ปล่อยแล้ว กิเลสมันก็ขาดแล้ว ไอ้เราต้องล่อ ๕๐ รอบ ๖๐ รอบ มันยังไม่ปล่อยเลย มันแตกต่างกันอย่างนี้นะ

ไม่ใช่ว่าคนเรากิน ๕ ถ้วยอิ่มก็ ๕ ถ้วยอิ่มทุกคน ตั้งกติกาเลยว่าใครมาที่นี่กินข้าว ๕ ถ้วยแล้วจะอิ่ม ใครกินน้อยกว่าก็ไม่ได้ ต้องกิน ๕ ถ้วย ๕ ถ้วย มันไม่มีหรอก การปฏิบัติมันก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติถ้ามันเป็นไปแล้วมันจะเป็นความจริงของมัน แต่ถ้าเราจะบอกว่ากี่ถ้วยอิ่ม กี่ถ้วยอิ่ม บอกว่าสัญญาจะเป็นอย่างนั้น สัญญาจะเป็นอย่างนั้น ใช่ เป็น! เป็นอย่างนั้นจริงๆ

คำว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หมายถึงว่า ลูกศิษย์อาจารย์น่ะแก้กัน ถ้าเราไม่บอกว่าสัญญาเป็นอย่างนี้ ไม่บอกว่าจะทำแล้วเป็นอย่างนี้ อาจารย์กับลูกศิษย์จะคุยกันได้อย่างไร สมมุติบัญญัติไง อ้าวนี่ว่าไง ว่ามา ถ้าพูดถูกก็คือของเขาถูก

แล้วถูกนี่ก็คือถูก ถูกโดยบัญญัติ แล้วถ้ามันถูกโดยธรรม แล้วถ้ามันถูกโดยสัจจะความจริงคือถูกโดยมรรค เดี๋ยวมันปล่อยอย่างไร มันจะรู้อีก นี่ไงเวลาถูกมันก็ถูก แต่ถูกระดับไหน ถูกเป็นอย่างไร ฉะนั้นมันเป็นภาคปฏิบัติไง

จิตเป็นจิตนะ นี่พูดถึงอาการของจิตและตัวจิต ถ้าจิตเป็นจิตอย่างนี้ จิตจริงไหม จิตนี่จริง แต่มันโดนกิเลสครอบงำมันไว้ ระหว่างภพชาติระหว่างความเป็นจริง ไอ้อย่างนี้มันเป็นเรื่องมีโดยปกติ แม้แต่ฤๅษีชีไพรก็มี เรานั่งอยู่นี่ก็มี คนมีชีวิตจะมีหมด แต่รู้หรือไม่รู้อีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น รู้หรือไม่รู้มันเป็นเรื่องของวัฏฏะเรื่องของโลก แต่ถ้าเรื่องของธรรมนะเข้าใจแล้วมันปล่อย มันปล่อยแล้วมันยิ่งปล่อยมากยิ่งเข้าใจมาก ยิ่งจะเห็นความเป็นจริงของตัว แล้วจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น นี่ ตอบปัญหาในเว็บไซต์เนาะ

กระผมมีความหวังเพียงประการเดียวที่กระผมได้มีข้อสอบถามมา มีเพียงประการเดียว ความก้าวหน้าในนั้น นี่พูดถึงว่ายังดีมาก เพราะว่าเวลาเขาศึกษามา เขาเข้าใจของเขาหมด เวลามาเจอปฏิบัติ ตัวเองยอมสารภาพว่าสิ่งที่รู้มาเหมือนไม่รู้อะไรเลย แล้วพอมาบวชไม่ถึงเดือน สิ่งที่ศึกษามาทั้งชีวิตก็พลิกกลับเลย พอพลิกกลับมันก็ยังมีความสงสัยอยู่ แต่ดี

ถ้าปฏิบัติแล้วจะเห็นอย่างนี้ เห็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัตินะคิดว่าปริยัตินั้นคือการปฏิบัติ ความรู้คือความรู้เรา แล้วคิดว่าเป็นการปฏิบัติแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ คือจำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาทั้งหมดเลย แต่ถ้าปฏิบัติขึ้นมามันจะรู้ของมัน สิ่งที่ไม่รู้ มันจะวางสิ่งที่ไม่รู้เลยว่านั่นคือไม่รู้ แล้วจะรู้ในแนวทางปฏิบัติ แต่ยังไม่รู้จริง ถ้ารู้จริงปฏิบัติแล้วรู้จริงนะ มันจะได้ผลเลยว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา จนสิ้นในกิเลสไป มันจะเข้าใจความจริงหมด จากการปฏิบัติ เอวัง